วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทั้ง3ยุค

สุดยอด 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทั้ง3ยุค (ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคโบราณ)


การแบ่งประเภทของสิ่งมหัศจรรย์

          การแบ่งประเภทของสิ่งมหัศจรรย์ในโลกอันกว้างนั้นสามารถจำแนกออกเป็นหลายสาขา ด้วยกัน อาทิเช่น สิ่งมหัศจรรย์สาขาภูมิศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ สาขาจิตรกรรม สถาปัตยกรรม สาขาชีววิทยา และสาขาวิทยาศาสตร์

การจัดแบ่งสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม สามารถแบ่งได้เป็น 3 ยุค
  1. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
  2. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
  3. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน 


7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่

Chichén Itzá, Mexico

1.เมืองโบราณซีเชน อิตซา ของชนเผ่ามายา ในเขตยูคาทาน เม็กซิโก

          ชิเชน อิตซา ตั้งอยู่ที่คาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก เป็นเมืองศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของเผ่ามายา ตัววิหารที่สร้างถวายแด่เทพเจ้าของชนเผ่ามายา สร้างอยู่บนเนื้อที่กว่า 6.4 ตรารางกิโลเมตร มีลักษณะเป็นปีระมิดเป็นชั้นลดหลั่นลงมา และมีบันไดอยู่ตรงกลาง บนยอดเป็นแท่นบูชาสำหรับทำพิธีกรรมสังเวยแด่เทพเจ้าชนเผ่ามายาได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่มีความป่าเถื่อนในการบูชายันมนุษย์ แต่ก็ได้ชื่อว่ามีความเจริญทางภาษา และความรู้ทางคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ โดยมีการสร้างปฏิทินมายาขึ้นโดยกำหนดให้ 1 ปี มี 18 เดือนและแต่ละเดือนมี 20 วัน ดังนั้น 1 ปีของชาวมายาจึงมี 360 วันและมีการเพิ่มวันที่ไม่ขึ้นกับเดือนใดเข้าไปอีก 5 วัน แม้จะมีความรู้ถึงเพียงนี้แต่พวกนี้กลับไม่ค้นพบการประดิษฐ์ล้อแต่อย่างใด




Christ Redeemer, Brazil


2. รูปปั้นพระเยซูคริสต์ หรือคริสต์ รีดีมเมอร์ บนยอดเขาในนครริโอ เดอ จาเนโร ของบราซิล

          รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่บนยอดเขาโคคาวาดู ( Cocarvado ) กรุงริโอ เดอ จาเนโร ( Rio de Janero ) ประเทศบราซิล มีความสูงราว 38 เมตร สร้างในปีค.ศ.1921 ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดา ซิลวา กอสตา( Heitor da Silva Costa ) ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี ( Paul Landowski ) ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม 1926 ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังฐานของรูปปั้นเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองริโอ เดอ จาเนโรได้




The Great Wall, China


3.กำแพงเมืองจีน (ติดโผครั้งที่ 2 จากยุคกลาง)

          กำแพงเมืองจีน หรือ กำแพงหมื่นลี้ สร้างในสมัยของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์ก และได้มีการสร้างกำแพงต่ออีก 4 ครั้งใหญ่ๆโดยส่วนใหญ่ถูกสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง แต่ก็ถูเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียบุกข้ามกำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ กำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างพรมแดนจีนกับธิเบต มีความสูงจากพื้นดิน 20 - 30 ฟุต กว้าง 15 - 20 ฟุต ยาวประมาณ 2,400 กิโลเมตร กำแพงก่อด้วยดิน หินและอิฐ โดยทุกๆ 200 เมตรจะมีหอตรวจการอยู่ และมีระฆังแขวนอยู่ทุกหอรวมไม่ตำกว่า 20,000 หอ ระหว่างการก่อสร้างมีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคน และศพของผู้เสียชีวิตก็ถูกผังอยู่ในกำแพงนั่นเอง กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างสิ่งเดียวของมนุษย์ ที่สามารถมองเห็นได้จากดวงจันทร์ ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนส่วนที่เหลืออยู่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสิ้น กำแพงเมืองจีนถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย




Machu Picchu, Peru


4. เมืองโบราณมาชูปิกชู ของชนเผ่าอินคา ในเปรู

          มาชู พิคชู หรือนครสาบสูญแห่งอินคา ( The Lost City of the Incas ) เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนภูเขาในประเทศเปรู อยู่สูงจากระดับนำทะเลถึง 2,350 เมตร มาชู พิคชูสร้างโดยจักรวรรดิ์อินคา และถูกทิ้งร่างเมื่ออินคาพ่ายแพ้แก่ชาวสเปน จนกระทั่งถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวอเมริกันชื่อ ฮิราม บิงแฮม ( Hiram Bingham ) ในปีค.ศ. 1911




Petra, Jordan 


5. เมืองโบราณเพตรา ในจอร์แดน

          นครเพตรา เป็นนครที่แกะสลักลงบนหุบเขาใกล้ทะเลสาบเดดซี( Dead sea ) และอ่าวอัคบา ( Gulf of Aqaba ) เมืองเพตราถูกสร้างโดยชาวบานาเทียน ( Nabataeans ) ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกลางทะเลทรายอาหรับ ซึ่งได้สกัดหน้าผาหินทรายให้เป็นบ้านเรือนสำหรับพักอาศัย และได้เปลี่ยนจากอาชีพเลี้ยงแกะมาเป็นพ่อค้า และรับคุ้มครองกองคาราวาน ทำให้เพตราเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่มีพ่อค้าชาวกรีกได้อธิบายถึงความมั่งคั่งของเพตราว่าเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของชาวอาหรับ เปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสตศักราชที่ 70 ในช่วงเวลานี้เปตราถูกปกครองด้วยกษัตริย์นาม อารีตัสที่ 4 ( Aretas IV ) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องว่า ฟิโลเดมอส ( Philodemos ) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน เพตราเริ่มเสียอำนาจเมื่อมีเส้นทางการค้าที่สะดวกและปลอดภัยกว่าเกิดขึ้น จนกระทั่ปีค.ศ. 106 เพตราถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรโรมัน จนคริสตศตวรรษที่ 5 เพตรากลายเป็นที่ตั้งของมณฑลของบิชอบ และถูกมุสลิมยึดครองในครสตศตวรรษที่ 7 และค่อยๆเสื่อมลงจนหายไปจากประวัติศาสตร์ จนกระทั่งถูกค้นพบโดย นักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โจฮันน์ ลุควิก เบิร์กฮาร์ท ( Johann Ludwig Burckhardt ) ในปีค.ศ. 1812 เพตราจึงได้ปรากฏโฉมต่อชาวโลกอีกครั้ง





The Roman Colloseum, Italy (ติดโผครั้งที่ 2 จากยุคกลาง)


6. สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี

          โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ในกรุงโรม สร้างในสมัยจักรพรรดิ์เวสปาเชียน ( Emperor Vespasian ) แห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไตตัส ( Titus ) ในคริสตศตวรรษที่ 1 โคลอสเซียมมีลักษณะเป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมก่อด้วยหินทรายและอิฐวัดโดยรอบประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร จุคนได้ประมาณ 80,000 คน มีห้องสำหรับขังทาส นักโทษ และสัตว์ดุร้าย เช่น สิงโต เสือ โดยจะให้ทาสสู้กันเองจนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว จึงจะได้รับอิสระภาพ หรือ ให้นักโทษสู้กับสิงโตที่หิวโซเนื่องจากถูกจับอดอาหาร ในแต่ละปีมีนักโทษและทาสตายไม่ต่ำกว่า 100 คน โคลอสเซียมถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย




The Taj Mahal, India


7. ทัชมาฮาล ในเมืองอักรา ประเทศอินเดีย

          ทัชมาฮาล สร้างโดยจักรพรรดิ์ชาห์ เจฮัน ( Emperor Shah Jahan ) เพื่อเป็นอนุสรณืแห่งความรักแด่พระมเหสีมุมทัช มาฮาล ( Mumtaz Mahal ) ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างสร้างระหว่าง ค.ศ.1630-1648 ณ สวนริมผั่งแม่นำยมนา เมืองอัครา ออกแบบโดยอุสตาด ไอสา (Ustad lsa) สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวจากเมืองมะครานา หินอ่อนสีแดงจากเมืองฟาตีบุระ หินอ่อนสีเหลืองจากฝั่งแม่น้ำนรภัทฑ์ เพชรตาแมวจากกรุงแบกแดด ปะการัง และหอยมุกจากมหาสมุทรอินเดีย หินเจียระไนสีฟ้าจากเกาะลังขะ เพชรจากเมืองบนทลขัณฑ์

ทัชมาฮาลได้รับการรับรองจากสถาปิกทั่วโลกว่าสร้างได้ถูกสัดส่วน และงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร มีหอสูงมีโดมอยู่บนรอบทั้ง 4 มุม ภายใต้โดมใหญ่มีโลงหินอ่อนประดับด้วยอัญมณีมากมายบรรจุอยู่ แต่โลงพระศพจริงๆอยู่ในอุโมงค์ข้างใต้โลงหินนั้น เดิมชาห์ เจฮันตั้งพระทัยจะสร้างสุสานสำหรับพระองค์เองที่อีกฝั่งของแม่น้ำยมนา โดยสร้างให้เหมือนกับทัชมาฮาลแต่สร้างด้วยหินอ่อนสีดำ แต่ถูกพระโอรสจับพระองค์ขังอยู่ 7 ปีจึงสิ้นพระชนม์ และพระศพของพรองค์ถูกฝังอยู่เคียงข้างมิ่งมเหสีสุดที่รักนั่นเอง ส่วนอุสตาด ไอสาสถาปนิกผู้ออกแบบก็ถูกชาห์ เจฮันสั่งประหารเนื่องจากไม่ต้องการให้ออกแบบสถาปัตยกรรมใดๆที่สวยกว่าทัชมาฮาลได้




7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคกลาง


Mosque of Hagia Sophia (Istanbul)

1. สุเหร่าเซนต์โซเฟีย เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี


สถานที่ตั้ง เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้

          สุเหร่าเซนต์โซเฟีย(Saint Sophia) หรือ โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ในอดีตเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์


          พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้างเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่13 ใช้เวลาสร้าง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้งเพราะเกิดการขัดแย้งระหว่าง พวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม จนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียน มีอำนาจเหนือตุรกี จึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์ 20 ปี ตัวโบสถ์ 5 ปี เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1996 (ค.ศ 1435) พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุดได้พยายามหา สิ่งของมีค่าต่างๆ มาประดับไว้มากมาย สร้างเสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่างมโหฬาร ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างใหญ่ทำให้แตกร้าวต้องให้ช่างซ่อมจนเรียบร้อยในสภาพเดิม เมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสตินเนียน ถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมเม็ดที่ 2 มีอำนาจเหนือตุรกี และเป็นผู้นับถือศาสนา อิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์หลังนี้ให้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงความงามไว้เช่นเดิม สุเหร่าเซนต์โซเฟีย มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสางามค้ำที่สลักอย่างวิจิตร และ ประดับไว้งดงาม 108 ต้น (ชั้นบนขนาดเล็ก 68 ต้น ชั้นล่างขนาดใหญ่ 40 ต้น) มียอดเป็นโดม คล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลม ๆ มากมาย เนื่องจากศิลปะแบบคริสเตียน ผสมกับอิสลามนี้เองทำให้มีความสวยงามอันน่ามหัศจรรย์




The Roman Colloseum, Italy

2. สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี

สถานที่ตั้ง กรุงโรม ประเทศอิตาลี ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้

          สนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ที่ ใหญ่โตของอาณาจักร โรมันสมัยโบราณสร้างขึ้นในระหว่าง พ.ศ. 615 ถึง 623 (ค.ศ. ที่ 72 ถึง 80) ตัวสนามสร้างมีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น ภายในมีอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 80,000 คน ใต้อัฒจรรย์ และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตายก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมาก ปี ๆ หนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน

          สนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลง ก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน ในปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม





The Great Wall, China

3. กำแพงเมืองจีน

สถานที่ตั้ง ประเทศจีน ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้

          กำแพงเมืองจีน หรือกำแพงอิฐยักษ์ เป็นกำแพงกั้นเมืองและกั้นประเทศทั้งประเทศ ตามพรมแดนด้านเหนือของจีน เป็นกำแพงที่ยาวใหญ่มหึมา หาที่ใดในโลกมาเปรียบไม่ได้อีกแล้ว มีขนาดกว้างตั้งแต่ 4.5 เมตร ถึง 7.5 เมตร(10 ฟุต) ซึ่งทหารม้าเข้าแถวเรียง 8 ได้อย่างสบาย ๆ มีความสูง จากพื้นด้านล่างตั้งแต่ 8 เมตร ถึง 9 เมตร(20-30 ฟุต หนา15-25 ฟุต) สูงพอที่จะไม่สามารถ ปีนข้ามไปได้ง่าย ๆ เดิมเชื่อว่ามีความยาว 2,550 ไมล์ ( 2,400 กิโลเมตร) บนกำแพงทุก ๆ ระยะ 200 เมตร(300 ฟุต) จะมีหอหรือป้อม สำหรับตรวจเหตุการณ์ มีป้อมมากกว่า 15,000 แห่ง สร้างสูงขึ้นไปอีก 3 เมตร ถึง 6 เมตรและมีระฆังแขวน เพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุ ไว้ประจำทุกหอ รวมทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 20,000 หอ เริ่มสร้างระหว่างปี พ.ศ. 300-329 (243-252ปีก่อนคริสตกาล)

          ในสมัยพระเจ้าซี่วังตี่ ใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปี และมีการสร้างต่อเติมอีกหลายกครั้ง ใช้แรงงานเกณฑ์จากราษฎรทั้งประเทศ นับจำนวนล้าน มีผู้เสียชีวิตนับพันนับหมื่น เป็นสิ่งก่อสร้างชนิดเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นเมื่อมองจากดวงจันทร์ ในสมัยนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่ป้องกันข้าศึกได้อย่างดีเยี่ยม ปัจจุบันไม่มีความหมายในด้านป้องกันประเทศอีกแล้ว คงมีค่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก





Porcelian Tower of Nanking

4. เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง ประเทศจีน

สถานที่ตั้ง เมืองนานกิง ประเทศจีน ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้

          เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง เป็นสิ่งก่อสร้างเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม สูง 9 ชั้น สูง 261 ฟุต หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว มีกระดิ่งแขวนไว้ 80 ลูก และโคมไฟประดับอีกหลายร้อยผูกแขวนไว้ตามชายคา ยอดเจดีย์เป็นรูปกลมปิดทอง องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งหมด เดิมทีพุทธศาสนิกชนชาวจีนเป็นผู้สร้างไว้เพียง 3 ชั้น

          ใน ค.ศ. 1430 จักรพรรดิ์ยุ่งโล้ แห่งราชวงศ์เหม็งได้โปรดให้จัดสร้างเสริมขึ้นไปอีกจนสูง 9 ชั้น มีสายโซ่โยงลงมา 8 เส้น มีกระดิ่งแขวนตามสายโซ่ 72 ลูก เวลาลมพัดมีเสียงดังไพเราะมาก เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกคุณบิดา มารดา จักรพรรดิ์ยุ่งโล้ได้บรรจุเครื่องบูชาที่ทำด้วยของมีค่า พวกเงิน ทองคำ และอัญมณีอื่นๆ จำนวนมาก กล่าวกันว่า บนยอดเจดีย์มีลูกบอลปิดทอง มีเหล็กวงแหวนล้อมรอบถึง วง มีไข่มุกขนาดใหญ่ 5 เม็ดอยู่ที่ปลายเป็นเครื่องลางบอกความมีโชคชัย ของกรุงนานกิง เจดีย์นี้เคยถูกฟ้าผ่า และถูกพวกกบฎไต้เผ็ง ทำลายเมื่อปี พ.ศ. 2396 (ค.ศ. 1853) เสียหายมาก ต้องมีการซ่อมแซมเพื่อให้ส่วนที่เหลืออยู่ ได้อวดความงามอันน่ามหัศจรรย์ต่อไป ส่วนของมีค่าภายในนั้นถูกปล้นสะดมสูญหายไปหมดแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังได้ชื่อว่า เป็นเจดีย์ที่ทำด้วยกระเบื้องเคลือบ วิจิตรงดงามมีค่าสูงยิ่ง




Stonehenge


 5. สโตนเฮนจ์ เมือง ซัลลิสเบอรี่ ประเทศอังกฤษ

สถานที่ตั้ง เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้

          กองหินประหลาดนี้อยู่กลางทุ่งนาแห่งเมืองซัลลิสเบอรี ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ประกอบด้วยแนวหินขนาดมหึมาหินเรียงรายราว ๆ 3 กิโลเมตร และมีกลุ่มหินใหญ่ประมาณ 112 ก้อน ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งนา เป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อน วงกลมรอบนอก มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 100 ฟุต มีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูง 13 ฟุต วงกลมรอบกลาง มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มีสองก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต วงในสุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 50 ฟุต มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ล้มบ้างตั้งสูงบ้าง หินแต่ละก้อนหนักเป็นตันๆ เฉลี่ยแล้วสูง 4 เมตร หนัก 26 ตัน มีผู้สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ในที่นั้นมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลถึง 1,700 ปี เป็นสิ่งก่อสร้างที่โดยไม่มีร่องรอยของความเป็นมา ไม่มีใครทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง, สร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ที่น่าแปลกก็คือ ในริเวณนั้นเป็นทุ่งกว้าง ไม่มีภูเขาและสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่นๆ อีกเลย

          จึงทำให้สงสัยว่าผู้ก่อสร้างนำหินเหล่านั้นมาจากไหน และไม่ปรากฏว่ามีการขน หรือสิ่งปรักหักพังในการก่อสร้าง บริเวณที่ดังกล่าวใช้อะไรยกหินก้อน ที่หนักๆ หลาย ๆ ตันขึ้นวางซ้อนกันได้ ซึ่งอยู่สูงถึง 13 ฟุต นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่ท้าทายความอยากรู้ของมนุษย์ยุคปัจจุบันยิ่งนัก





Catacombs of Alexandria Egypt

6. สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย (คาตาโคมป์) เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์

สถานที่ตั้ง เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้

          สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย เป็นอุโมงค์ที่เก็บศพ และทรัพย์สมบัติของกษัตริย์อียิปต์โบราณอุโมงค์ฝังศพนี้ มีชื่อเรียกว่า คาตาโคมบ์ (Catacombs) เป็นอุโมงค์ที่สร้างด้วย หินก้อนใหญ่ ๆ และ ขุดลึกลงไปเป็นชั้นๆ บางตอนลึกถึง 21 ถึง 24 เมตร (70-80 ฟุต) มีทางเดินกว้างถึง 1.2 เมตร (3-4 ฟุต) วกไปเวียนมา เป็นระยะทางหลาย ๆ กิโลเมตร ตามริมผนังของอุโมงค์เป็นช่อง ๆ ไว้ สำหรับเป็นที่ บรรจุศพ มีแท่นบูชาอยู่หน้าช่องบรรจุศพเหล่านั้น พร้อมตะเกียงดวงเล็กๆ แขวนไว้ บางส่วนของอุโมงค์ตกแต่งทั่ว ๆ ไปไว้อย่างวิจิตรงดงาม ปัจจุบันยังคงมีสภาพสมบูรณ์




Leaning Tower of Pisa

7. หอเอนเมืองปิซา ประเทศอิตาลี

สถานที่ตั้ง เมืองปิซา ประเทศอิตาลี ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้

          หอเอนแห่งเมืองปิซา เป็นหอคอยหินอ่อนที่พิศดาร สูง 54 เมตร ( 181 ฟุต) มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตรรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ. 1717 (ค.ศ. 1174) ไปเสร็จในปี พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) ใช้เวานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก ความน่ามหัศจรรย์อีกอย่าง คือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5 ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกับพังทลายลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ เมื่อสร้างเสร็จ ยอดของหอเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 4 เมตร( 14 ฟุต) และหอเอนนี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของเทห์วัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง



          สำหรับ 7 สิ่งมหัศจรรย์โลกยุคโบราณนั้น ถูกรวบรวมโดยกลุ่มนักปราชญ์ ชาวกรีก แต่เอกสารสูญหาย ต่อมา แอนติเปเตอร์ แห่งไซดอน นักเขียนชาวกรีกโบราณ ได้รวบรวมเอกสารใหม่หลงเหลือให้เห็นอยู่ในปัจจุบันเพียงแห่งเดียว คือ พีระมิดแห่งกีซาในอียิปต์ นอกนั้นถูกทำลายด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์


7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคโบราณ


The Great Pyramid of Giza

1. The Great Pyramid of Giza

ตำแหน่งที่ตั้ง ประเทศอียิปต์ตั้งอยู่ห่างจากกรุงไคโรเมืองหลวงของอียิปต์ปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ 2-3 กิโลเมตร กลางทะเลทราย ทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้





          มหาพีระมิดของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ห่างไปทางตอนใต้ของ เมืองอะเล็กซานเดรีย ประมาณ 160 กิโลเมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 12 เอเคอร์ และมีอายุตั้งแต่สมัย 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้น ซึ่งพีระมิดของกษัตริย์คูฟู สูงถึง 147 เมตรฐานกว้างด้านละ 230 เมตร ใช้หินก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน รวมใช้ก้อนหิน 2,300,000 ก้อน รวมน้ำหนักกว่า 6,000,000 ตัน มีการเตรียมการสร้างถึง 10 ปี ใช้แรงงานถึง 100,000 คน มาใช้แรงงานถึง 20 ปี เพื่อสร้างพีระมิด ดังกล่าวให้จนลุล่วง 

จุดมุ่งหมาย ของสิ่งก่อสร้างนี้ ในเบื้องแรกก็เพื่อบรรจุพระศพของกษัตริย์อียิปต์พระนามคีออปส์ หรือ คูฟู ปัจจุบันส่วนยอดของพีระมิด ทรุดโทรมลง จนมีความสูงเพียง 137 เมตร พีระมิดแห่งเมืองกิซามี 3 องค์คือ พีระมิดซีเฟรน พีระมิดไมเซอนิรุส แลพีิระมิดคีออปส์ ซึ่งพีิระมิดคีออปส์เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด





The Hanging Gardens of Babylon

2. The Hanging Gardens of Babylon

ตำแหน่งที่ตั้งกลางทะเลทราย เมืองแบกแดด ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรัก ปัจจุบันทั้งสวนและผนังดังกล่าวทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือซากแล้ว


รายละเอียด

          สวนลอย หรือ สวนสวรรค์แห่งเมืองบาบิโลนนี้ กินเนื้อที่ 4 เอเคอร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 63 โดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย หลังจากการพิชิตปราบปรามเมืองใกล้เคียงมาอยู่ในอำนาจ แล้วก็กวาดต้อนประชาชนพลเมืองมาใช้เป็นทาสให้สร้างสวนสวรรค์นี้ขึ้นบนทะเลทราย มีกำแพงดินกั้นล้อมรอบและประกอบด้วยลานกว้างๆ เป็น หลาย ๆ ส่วนบนพื้นที่โค้ง มีความสูงมากและปลูกต้นไม้ ดอกไม้สีสันสดใสสร้างสระน้ำสีต่างๆ ทำน้ำตก น้ำพุ โดยทำท่อทดเอาน้ำมาจากแม่น้ำยูเฟตีส สวนแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประพาส หย่อนพระทัยของพระมเหสี เซมีรามีส






The Statue of Zeus at Olympia

 3. The Statue of Zeus at Olympia

ตำแหน่งที่ตั้ง เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

          ซุส สร้างขึ้นในปี ค.ศ.53-111 ซึ่งชาวโรมันเรียกว่า จูปีเตอร์ เป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวกรีกโบราณนับถือมากและเคารพสักการะบูชามาก เทวรูปซีอุสแกะสลักด้วยงาช้างจำนวนมากประกอบกันขึ้นมีขนาดสูง 58 ฟุต เป็นรูปเทพเจ้านั่งบนบัลลังก์สีทอง พระหัตถ์ซ้ายทรงคธา พระหัตถ์ขวารองรับรูปปั้นแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับด้วยทองคำล้วน อาจพังทลายเพราะ แผ่นดินไหว ในศตวรรษที่ 6 แห่งคริสตกาล ต่อมาถูกขนย้ายไปยัง กรุงคอนสแตนติโนเปิล และสุดท้ายถูกไฟไหม้เสียหาย

          ชาวโรมันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จูปีเตอร์ ชาวกรีกได้เรียกเทวรูปนี้ว่า ซุส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นผู้นำแห่งเทพเจ้า ชาวกรีกนับถื่อมากที่สุดในยุคนั้น ใครจะออกเดินทางไปเมืองใดต้องมาพรจากพระองค์เสียก่อน แต่บัดนี้ไม่มีหลักฐานให็เป็นที่ชมได้เพราะได้ถูกไฟเผาไหม้หมดทั้งองค์ในปี ค.ศ. 476 คงเห็นภาพในเหรียญ ตราโบราณ และจากจินตนาการที่ได้มาจากคำบอกเล่า หรือ นิยายปรัมปราเท่านั้น แต่ความงาม ความใหญ่โตศักดิสิทธิ์ ยังคงเป็นที่ยกย่องเล่าลือมาจนถึงปัจจุบันนี้






The temple of Artemis at Ephesus

4. The temple of Artemis at Ephesus

ตำแหน่งที่ตั้งเมืองเอเฟซุส ประเทศกรีซ ปัจจุบันยังมีซากหลงเหลืออยู่บ้าง




          ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่ได้บูรณะซ่อมแซมในปี ค.ศ.186 เพราะถูกไฟไหม้ มหาวิหารเดียนา มีเนื้อที่กว้าง 54,720 ตารางฟุต ตัววิหารกว้าง 160 ฟุต ยาว 342 ฟุต มีเสาหินอ่อนด้านละ 20 ต้น ด้านหน้าด้านหลัง 8 ต้น แต่ละต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 ฟุต สูง 60 ฟุต หลังคามุงกระเบื้องหินอ่อน เป็นวิหารที่สวยที่สุดในสมัยนั้น มหาวิหารเดียนา สร้างขึ้นเพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมิส ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ ได้ช่วยกู้ความหายนะของเมืองไว้ ได้ถึง 2 ครั้ง ถูกทำลายโดยพวกโกธ จากเยอรมัน ที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อ ค.ศ. 262





The Mausoleum of Maussollos at Halicarnassus

5. The Mausoleum of Maussollos at Halicarnassus

ตำแหน่งที่ตั้ง เมืองฮาลคาร์นาซซัส ประเทศตุรกี ปัจจุบันยังมีซากหลงเหลือ




          สุสานของกษัตริย์โมโซรุสหรือที่เก็บศพโมโซรุสเป็นสถานที่เก็บ หรือฝังศพของพระเจ้าโมโซรุส กษัตริย์แห่ง เอเชียไมเนอร์ ปัจจบันคือ เปอร์เซีย ซึ่งพระนางอาเตมีเซีย ราชินีได้ขึ้นครองราชย์ ต่อจากพระราชสวามีได้เป็นผู้สร้างขึ้น ที่เมืองซาเรีย (ปัจจุบันคือ เมืองฮาลคาร์นาซซัส ) โดยใช้ช่างออกแบบ ฟิดิอัส ซาติรัสบรายอาซีส สโคปาส ทิโมทิอัส ที่มีชื่อเสียง ฝีมือเยี่ยมในกรีซ ทั้งหมดมาช่วยกันสร้างด้วยหินอ่อน แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จพระนางก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน เมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล มีความสูง 43 เมตร บนยอดมีรูปปั้นโมโซรุส ประทับบนราชรถเทียมด้วยม้าทั้งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บศพพระราชสวามีของ พระนางแต่เพียงอย่างเดียวซึ่งนับว่าเป็นสุสานที่ใหญ่โตพิศดาร และสูงที่สุดในโลกอาจจะทรุดพังเพราะแผ่นดินไหว







The Colossus of Rhodes

 6. The Colossus of Rhodes

ตำแหน่งที่ตั้งเกาะโรดส์ ประเทศกรีซ ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน

          เทวรูปโคโลสซูส เป็นเทพเจ้าที่ชาวกรีกเคารพนับถือมาก ซึ่งกษัตริย์ชาเรสแห่งลินดัส สร้างขึ้นเมื่อ 280 ปี ก่อนคริสต์กาล เทวรูปนี้หล่อด้วยทองสำริดในท่ายืนสูง 100 ฟุต มือขวาถือประทีป เทวรูปตั้งอยู่บนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าว องค์เทวรูปยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดไปมาได้ เทวรูปโคโลสซูส หรือเทพเจ้าอพอลโป ประดิษฐานอยู่บนเกาะโรดส์ ประเทศกรีซ และเมื่อ 224 ปี ก่อนคริสต์กาล เกิดแผ่นดินไหว เทวรูปจึงพลังลงมา ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซากทองเหลืองที่เหลืออยู่จึงถูกขายให้แก่ชาวเมือง ซาราเชนส์ ไปทำอาวุธในการทำสงครามจนหมด ปัจจุบันสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นนี้ได้สูญสลายไปหมดแล้ว






The Lighthouse of Alexandria


 7. The Lighthouse of Alexandria

ตำแหน่งที่ตั้ง เกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

          กระโจมไฟฟาโรส หรือ ประภาคารฟาโรส อันยิ่งใหญ่นี้ พระเจ้าปโตเลมีฟิลาเดลฟัส กษัตริย์แห่งประเทศอียิปต์เป็นผู้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสลักลวดลายวิจิตรงดงาม อยู่บนเกาะฟาโรส ที่อ่าวหน้าเมืองอเล็กซานเดรีย ประมาณ 271 ปีก่อนคริสตกาล สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่สังเกตเห็นแก่หมู่เรือทั้งหลาย ที่ไปมาติดต่อค้าขาย ในการเข้าไปยังเมืองท่า ซึ่งครั้งนั้นอียิปต์ เป็นประเทศที่เจริญในวิทยาการต่างๆ
ใครๆ ก็ชอบติดต่อเหตุนี้จึงต้องสร้างประภาคารขึ้นจุดตะเกียงแก๊สตลอดทั้งคืน เพื่อให้ผู้ที่ไม่เคยเดินเรือใช้เป็นที่สังเกตจะได้ไม่หลง และนอกจากนั้นแล้วยังใช้เป็นหอคอยไว้ดูข้าศึกที่จะมารุกรานอีกด้วยเพราะกระโจมนี้สูงถึง 180 เมตร หลังจากเกิดแผ่นดินไหว อาคารนี้ก็พังทลายลงมาตั้งแต่ ค.ศ. 955 และถูกทำลายโดยสมบูรณ์ในช่วงศตวรรษที่ 14





เว็ปไซค์อ้างอิง

  • http://members.tripod.com/com_sk/age1.htm
  • http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=skypream&month=03-2009&date=07&group=6&gblog=39
  • http://m.exteen.com/blog/clver4leaf/read/1246530

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น