วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์


ประเทศสวิตเซอร์แลนด์


ธงประจำชาติ

ชื่อทางการ : สมาพันธรัฐสวิส



ที่ตั้ง : สมาพันธรัฐสวิสหรือสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่กลางทวีปยุโรป ล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอลป์ เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ทิศเหนือจรดสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ทิศตะวันออกจรดออสเตรียและลิคเตนสไตน์ ทิศใต้จรดอิตาลี ทิศตะวันตกจรดฝรั่งเศส


พื้นที่ : 41,290 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าประเทศไทย 12 เท่า โดยพื้นที่ 2 ใน3 ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์อยู่บนเทือกเขาแอลป์ ซึ่งทอดยาวจากทิศตะวันตก

ภูมิประเทศ : พื้นที่มากกว่า 70% เป็นเขตภูเขาคือเทือกเขาแอลป์ มีแม่น้ำสำคัญคือแม่น้ำไรน์ แม่น้ำโรน แม่น้ำทิซิโน และแม่น้ำอิน


ภาษาที่ใช้ : ภาษาเยอรมัน มีจำนวนผู้ใช้มากกว่า 60% , ภาษาฝรั่งเศส มีผู้ใช้เป็นจำนวนมากในเมืองที่ติดกับประเทศฝรั่งเศส เช่น เจนีวา , ภาษาอิตาลี มีผู้ใช้ในทางใต้ของประเทศที่ติดกับประเทศอิตาลี เช่น ลูกาโน่

ระบบการปกครอง : ประชาธิปไตยทางตรง สหพันธ์สาธารณรัฐ

เมืองหลวง : เบิร์น

เมืองสำคัญอื่นๆ : ซูริค , เจนีวา , ลูเซิร์น , เซอร์แมท , ลูกาโน่ , อินเทอร์ลาเกน , บาเซิล

สกุลเงิน : ฟรังก์สวิส (CHF) โดย 1 CHF ประมาณ 30 บาท

ประชากร : ประมาณ 7,600,000 คน


ประวัติศาสตร์ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ยุคก่อนประวัติศาสตร์

Julius Caesar

เมื่อ 10,000ปีก่อนคริตสกาล พวกกลุ่มนักล่าสัตว์และกลุ่มคนเร่ร่อน ได้ย้ายถิ่น ฐานเข้ามาอยู่อาศัย ในเขตทาง ตอนเหนือของเทือกเขา แอลป์ (Alp)ซึ่งในปัจจุบัน ก็คือพื้นที่บริเวณ Graubündenใจกลาง ประเทศสวิสเซอร์แลนด ์เป็นครั้งแรกต่อมาก็ได้มีการขยาย อาณาเขตออกไปเรื่อยๆตามพื้นที่บริเวณลุ่มทะเลสาบต่างๆ จนกระทั่งเมื่อประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาลชนเผ่าเซลท์ (Celt คือกลุ่มชนชาติที่พูดภาษาเซลติก) ได้เริ่มย้ายถิ่นฐานจากทางเยอรมัน ตอนใต้ เข้าไปสู่พื้นที่ลุ่ม ทะเลสาบในตอนกลาง ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพิ่ม มากขึ้น โดยทางด้านตะวันออกของ สวิตเซอร์แลนด์เป็น ที่อยู่อาศัยของพวก Raetia ส่วนทางด้าน ตะวันตก ถูกครอบครองโดยชาว Helvetii นอกจากนั้นก็ยังมีชนเผ่าอื่นๆ ที่กระจัดกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของประเทศ สวิสเซอร์แลนด์ อีกเป็นจำนวนมาก คือ ชนเผ่า Lepontier ทางแคว้น Tessin ชนเผ่า Seduner ในเขต Wallisและทะเล สาบเจนีวาต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันในประมาณ 58 ปีก่อนคริสตกาล ชนเผ่า โรมัน ภายใต้การนำของจูเลียส ซีซาร์  (Julius Caesar) ได้เข้าโจมตี และยึดดินแดนของชนเผ่า Helvetii และดินแดนส่วนอื่นๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ช่วงนี้เองที่ได้เริ่มที่การก่อสร้าง ถนน หนทางและระบบ ผังเมืองขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นเป็นครั้งแรก เช่น ในบริเวณเมือง Basel,Chur, Geneve, Zurich ในปัจจุบันโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง Avenches ในช่วงปลายของยุคสมัยโรมัน ประมาณปีคริตศตวรรษที่ 4 ถึง 6 ศาสนาคริสต์ได้เผยแผ่เข้ามาในเขตประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้ได้มีการตั้งตำแหน่ง Bishop ขึ้นตามเมืองต่างๆ และเชื่อกันว่าอาณาจักรโรมันก็ล่มสลายลงในช่วงนี้เอง


ยุคของอดีตสมารัฐสวิส

ช่วงที่ถือได้ว่าเป็นช่วงของการก่อตั้งประเทศสวิตเซอร์แลด์หรือประเทศสมาพันธรัฐ สวิตเซอร์แลนด์ อย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1291 เมื่อมณฑล 3 มณฑลในเขตเทือกเขา แอลป์ คือ Uri, Schwyz และ Unterwalden ได้รวมตัวกันขึ้นเป็น อดีตสมาพันธรัฐสวิส(Old Swiss Conferderation หรือที่เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า Alte Eidgenossenschaft) ซึ่งการรวมกลุ่มนี้ไม่ได้เพื่อต้องการแยกออกเป็น ประเทศ แต่เพียงเพื่อต้องการจะต่อต้านอำนาจ ของราชวงศ์ฮับส์บวร์ก ซึ่งการรวมกลุ่มครั้ง ไม่ได้รับการ ยอมรับจาก้ราชวงศ์ฮับส์บวร์ก และมีการทำสงครามกันเรื่อยมาในปี1315กลุ่มของชาวบ้านที่เป็นทหารของสวิสในสมัยนั้นก็ทำสงครามชนะ ทหารของราชวงศ์ฮับส์บวร์กในสงคราม Morgatenหลังจากนั้นเมือง Zurich, Lucerne, Glarus, Zugและ Bernก็ได้เข้าร่วมเป็นอดีต สมาพันธรัฐสวิส และได้ การเรียกชื่อ  กลุ่มการรวมตัวของมณฑล8มณฑลนี้ว่า Schwyzภายหลังจาก การรวมตัวนี้แล้วก็ยังคงมีการรวมตัว ของมณฑลต่างๆ อยู่เรื่อยๆ จนเมื่อสิ้นสุด ปี ค.ศ. 1513 ก็มีมณฑลเข้าร่วมทั้งหมด
               
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1และครั้ง2

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้วางตัวเป็นกลางทางด้านการทหาร บทบาทสำคัญเพียงอย่างเดียวของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในสงครามโลกครั้งที่ 1ก็คือการส่งสภากาชาดเข้ามาช่วยเหลือ เมื่อสงครามโลกผ่านพ้นไปกลิ่นอายแห่งสงครามกลับ ทำให้เศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์ตกต่ำลง และเริ่มฟื้นฟูขึ้นใหม่ในช่วงปพ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ยุคนี้ยังเป็นยุคแห่งการถือกำเนิด ของศิลปินชื่อดังอีกด้วยถึงแม้ว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะวางตัวเป็น กลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2แต่สวิตเซอร์แลนด์กลับมี บทบาทสำคัญในทางด้าน เศรษฐกิจคือธนาคารของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้กลายเป็นสถานที่เพื่อใช้แลก เปลี่ยนเงินผิดกฎหมายของพวกนาซีเยอรมัน
               
ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488(ค.ศ. 1945)ได้มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติที่กรุงเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศหลายประเทศได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาติแต่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ประเทศเจ้าบ้านกลับไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสมัยแรก โดยองค์การสากลแห่งแรกที่สวิส เข้าร่วมเป็นสมาชิกภายหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 คือองค์การ UNESCO ซึ่งเข้าร่วมในปี พ.ศ. 2491(ค.ศ. 1948)ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตัดสินใจเข้าร่วม เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) ต่อมาในปี 2548 ประชาชนชาวสวิตเซอร์แลนด์ได้ทำการ ลงประชามติเพื่อให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมเป็นประเทศในสนธิสัญญาเช็งเก็น (Schengen Agreement)

สภาพอากาศ

อากาศในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เปลี่ยนแปลงตามสภาพภูมิประเทศ ปริมาณหิมะสูงที่สุดของประเทศอยู่ในโรเชอรส์ เดอ เนฟ (Rochers de Nave) ซึ่งเป็นภูเขาใกล้มงเทรอซ์ ( Montreux) อยู่ที่ระดับประมาณ 260 ซม. ต่อปี โดยปกติ การสะสมของหิมะจะสูงกว่าในด้านตะวันตกของประเทศ ที่มักจะมีเมฆจากชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก นอกจากนี้ ส่วนทางใต้ของเทือกเขาแอลป์มีฝนตก ตัวอย่างเช่น ลูกาโนได้รับปริมาณน้ำฝนประมาณ 175 ซม. ต่อปี ถ้าลมพัดเมฆมาจากทางใต้ จะถูกกั้นโดยเทือกเขาแอลป์และกลายเป็นฝน โดยปกติ จะก่อให้เกิดสภาพอากาศแห้งและอบอุ่นทางด้านเหนือของเทือกเขาแอลป์ และมักจะตามมาด้วยกระแสลมแรงและทิวทัศน์ที่สวยงามมากของเทือกเขาที่ดูเหมือน จะใกล้กว่าความเป็นจริงมาก ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "Foehn" คนจำนวนมากอ้างว่าทำให้เกิดอาการปวดศีรษะในสภาพอากาศเช่นนี้ ในทางตรงข้าม หุบเขาอิงกาดิน (Engadin) ทางด้านตะวันออก และวาเล่ย์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสวิตเซอร์แลนด์ มีปริมาณหิมะสะสมน้อยมาก สโคล์ได้รับประมาณ 70 ซม. สตาลเดนไรด์ ประมาณ 53 ซม. 

การท่องเที่ยว

แหล่งรายได้ดั้งเดิมของสวิตเซอร์แลนด์มาจากการท่องเที่ยว ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน ชาวสวิสที่เดินทางไปต่างประเทศจะมีการใช้จ่ายเกือบเท่ารายจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาใช้จ่ายในประเทศ อย่างไรก็ตามประเทศยังคงเกินดุล และการท่องเที่ยวเป็นอุตสากรรมส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ โดยมีการจ้างงาน 250,000 คน ต่ำกว่างานโลหะ วิศวกรรม และเภสัชกรรม

ไม่มีเขตใดในสวิตเซอร์แลนด์ที่ไม่มุ่งไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของการท่อง เที่ยว รูปแบบแบ่งย่อยพื้นฐาน ประกอบด้วย รีสอร์ทบนภูเขา ที่สามารถจัดกิจกรรมปีนเขาได้ในฤดูร้อนและสกีในฤดูหนาว และรีสอร์ทติดทะเลสาบจำนวนมากที่สามารถจัดกีฬาทางน้ำได้ เมืองของสวิสจำนวนมากส่วนหนึ่งเป็นรีสอร์ท และยังมีอีกพื้นที่ชนบทอีกจำนวนนับไม่ถ้วน เช่นในภูเขาจูรา ที่เสนอรูปแบบการท่องเที่ยวที่มีความน่าตื่นเต้นน้อยลง
แหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่นำเสนอหรือจัดงานสำคัญและกิจกรรม เมืองใหญ่หลายเมืองเป็นทั้งเมืองทะเลสาบ แหล่งชุมนุม และเป็นพิพิธภัณฑ์ไปพร้อมๆ กับการเป็นสถานที่พบปะทางธุรกิจ การส่งเสริมให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ให้เป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว ถือเป็นความรับผิดชอบหลักของการท่องเที่ยวแห่งสวิตเซอร์แลนด์ ปัจจุบัน สวิตเซอร์แลนด์เผชิญกับการแข่งขันมากขึ้นจากจุดหมายปลายทางอื่น ในขณะที่รายจ่ายจากภาครัฐในการส่งเสริมด้านนี้ยังคงอยู่ในระดับปานกลาง การท่องเที่ยวแห่งสวิตเซอร์แลนด์กำลังพยายามดึงตลาด เช่น อินเดียและจีน ซึ่งมีจำนวนประชากรร่ำรวยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


เมืองน่าเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์

          ลักษณะภูมิประเทศที่มีความหลากหลายและมีระดับความสู้ที่แตกต่างกันอย่างมากช่วยทำให้การเดินทางมาเยือนสวิตเซอร์แลนด์เป็นประสบการณ์ที่สุดแสนคุ้มค่าโดยไม่จำกัดว่าเป็นช่วงเวลาใดหรือที่ไหน เพราะว่าในฤดูใบไม้ผลิตที่สวิตเซอร์แลนด์ตะวันออกและบริเวณที่ราบลุ่มนั้นนักท่องเที่ยวจะได้พบกับความเขียวชอุ่มของทุ่งหญ้าและสวนดอกไม้ ที่พากันออกดอกบานสะพรั่งครั้นถึงฤดูร้อน นักท่องเที่ยวก็จะได้สัมผัสความงดงามของธรรมชาติที่แตกต่าง ออกไปจากบริเวณชายฝั่งทะเลสาบที่มีอยู่มากมายทั่วประเทศ


เบิร์น Bern
เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์เป็นเมืองโบราณเก่าแก่และโรแมนติก การเดินเที่ยวชม ความงดงามของ สถาปัตยกรรมในเขตเมืองเก่า เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เมื่อมีโอกาสได้มาเยือนนครแห่งนี้ Bern สร้างขึ้นเมื่อ 800 ปีที่แล้วโดยมีแม่น้ำ Aare ล้อมรอบตัวเมือง แม่น้ำแห่งนี้เปรียบเหมือนปราการธรรมชาติซึ่ง ป้องกันเมืองไว้ทั้ง สามด้านสำหรับด้านที่สี่ชาว เมืองได้สร้างกำแพงและสะพานข้ามที่สามารถชักขึ้นลงได้ และโดยการรักษาผังเมืองให้มีสภาพดังเดิมตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา Bernจึงได้รับการ ประกาศ ให้เป็นมรดก โลกของ UNESCO ซึ่งเป็นเมืองเดียวในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ การเดินชมเมือง ควรเริ่มจาก Rose Garden เพียง 5 นาทีก็จะพบกับบ่อเลี้ยง หมีของเมือง ( หมี เป็น สัญลักษณ์ของ Bern )
                                                            
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ


หอนาฬิกา Zytgloggeturm หรือ Zeitglockenturm
หอนาฬิกานี้ใข้เป็นประตูเมืองแห่งแรก ของกรุงเบิร์น ในช่วงปี ค.ศ. 1191 ถึง 1256และเมื่อม ีการสร้าง Prison Tower ขึ้น จึงได้เปลี่ยน ไปใข้ Prison Tower เป็นประตูเมืองแทน ในสมัยก่อนนั้นตึกนี้ไม่ได้เป็นนาฬิกาอย่างทุกวันนี้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1530 จึงได้มีการติดตั้งนาฬิกาดาราศาสตร์

                               
                                 
               
Munster St. Vinzenz
โบสถ์นี้ตั้งอยู่ระหว่างถนน Munstergasse และถนน Herrengasse ซึ่งจากถนน Krammgasse ก็ให้เดินเลี้ยวขวาไปก็จะเจอโบสถ์นี้ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเขตเมืองเก่า โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ประจำเมืองของ กรุงเบิร์น ซึ่งถือว่าเป็นโบสถ์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดขอสวิสเซอร์แลนด์โบสถ์มีลักษณะเป็นศิลปะ แบบโกธิคยุคกลาง ได้เริ่มมีการก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1421 ซึ่งการดำเนินการสร้าง โบสถ์แห่งนี้กินเวลายามนามไปจนถึงปี ค.ศ. 1573 เวลาประมาณ 150 ปีที่ใช้ไปนั้น สร้างได้เพียงแค่ตัวโบสถ์ ซึ่งมีความสูงประมาณ 64 เมตรเท่านั้น ต่อมาใน ปี 1889-1893 ก็ได้มีการต่อเติมสร้างส่วนที่เป็นหอ คอยขึ้นจามีความสูงทั้งสิ้น 100 เมตร ถ้าใครมีเวลาหรือมีแรงมากพอทีจะขึ้นบันไดวนเพียงแค่ 285 ขั้น ก็สามารถเดินขึ้นไปบนยอดหอคอยเพื่อชม ทัศนีภาพของกรุงเบิร์นได้ ซึ่งเค้าว่ากันว่าสำหรับวัน ที่ฟ้าใส มากๆ จะสามารถ มองเห็นบอดเขา Eiger, Mönch และ Jungfrau จากหอคอยของโบสถ์นี้เลยทีเดียว


อินเตอร์ลาเก้น Interlaken
"สวยเหมือนเมืองในฝัน" คือคำจำกัดความของ Interlaken ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบ Thun และ Brienz สถานที่ตากอากาศชั้นนำส่วนใหญ่ในถิ่นที่เรียกกันว่า Bernese Oberland ตั้งอยู่ตามเชิงเขา Eiger, Monch และ Jungfrau ทิวทัศน์แถบนี้บริสุทธิ์และสวยงามเกินคำบรรยาย จึงเป็นสถานตากอากาศที่นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกชื่นชอบมากที่สุด

                               
                                 
               
Jungfraujoch หลังคาแห่งยุโรป
หลังคาแห่งยุโรป ล่าสุดได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกของ Unesco เมื่อเดือนธันวาคม 2544 สถานีรถไฟสูงที่สุดในยุโรปที่ไม่สามารถลืมไปได้ ในการทัศนาจรภูเขา ซึ่งมีความสูงถึง 3454 เมตร พบกับสิ่งสวยงามที่นี่คือ วังน้ำแข็ง และทัศนียภาพ ที่งดงามประกอบ ไปด้วย Sphinxหอคอยชมทัศนียภาพ ที่อยู่เหนือ ธารน้ำแข็ง Aletsch ( ยาวที่สุดในเทือกเขา Alps ) และยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ของประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมกันนี้ยังจะเดินเล่นบนหิมะ นั่งกระดานเลื่อนโดยมีสุนัข Huskyลากสนามเล่นสกี สโนว์บอร์ท สำหรับฤดูร้อนหรือ ท่านที่ชอบการท้าทาย ก็มีการผจญภัยอีกหลายอย่าง รับรอง 100% ท่านจะพบกับ หิมะ และน้ำแข็งที่นี่

                               
                                 
ทะเลสาบ Thun
ล่องเรือในทะเลสาบและชมปราสาทโบราณ ล่องเรือในทะเลสาบ Thun และ Brienz ในวงล้อมของภูเขาสูง แวะชมปราสาท Thun ที่สร้างขึ้นใน ศตวรรษที่ 12 และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่จัดแสดงในห้องโถงใหญ่ของปราสาท เปิดให้ชมระหว่างเดือนมีนาคม ถึง เดือนตุลาคม Spiezชมปราสาท โบราณที่เปิดรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม ค่าโดยสารเรือฟรีโดยใช้สวิสพาสส์

                                             

พิพิธภัณฑ์โอลิมปิค (Olympic Museum)
ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับกีฬา โอลิมปิค ตั้งแต่สมัยโบราณ จนถึงปัจจุบัน และเป็นสำนักงานกรรมการโอลิมปิคสากล


                               
                                 
     

          
Luzern
ลูเซิร์นเป็นเมืองหนึ่งในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีประชากร 57,890 คน ตั้งอยู่แนวชายฝั่งทะเลสาบ ลูเซิร์น นเทือกเขาปิลาตุสและริจของเทือกเขาแอลป์ฝั่งสวิส สิ่งที่เป็นแลนด์มาร์คของเมืองและ มีชื่อเสียงมากคือชาปเพลบริดจ์(Chapel Bridge) เป็นสะพานไม้ที่สร้างสมัยศตวรรษที่14 ราวปี1290 ลูเซิร์นมีขนาดประชากรที่สมส่วนราว 3000 คน ทีปกครองโดยกษัตริย์รูดอล์ฟที่1 ลูเซิร์นเป็น เมืองที่นาฬิกาโรเล็กซ์ขายดีที่สุด รองลงมาคือมีดพก (Swiss Army Knives) Water Tower และ Chapel Bridge เป็นสัญลักษณ์ของเมือง Lucerne ที่นักท่องเที่ยวจำได้ทันทีที่เห็น สร้างมานานกว่า 650 ปีแล้ว ตัวเมืองเก่าเริ่มจากฝั่งแม่น้ำ Reussมีสถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจ หลายแห่ง เมือง Luzern จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวเกือบตลอดปี

                           
ภูเขา Titlis และ Pilatu
ภูเขา Titlis และ Pilatus เป็นภูเขาที่มีความชันที่สุดในโลก มีภัตตาคารอยู่บนยอดเขาที่สามารถชมทิวทัศน์โดยรอบได้ ใช้สวิสพาสส์ล่องเรือชมทิวทัศน์ไปในทะเลสาบ Luzern จนถึงเมือง Vitznau สามารถต่อรถไฟขึ้นไปเที่ยวภูเขา Rigi(ความสูง 1798เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) ภูเขา Stanserhorn เดินทางโดยรถรอกกว้านสมัยเก่าและรถกระเช้ารุ่นใหม่ล่าสุด (Aerial Cable Car) เพื่อชมทิวทัศน์และรับประทานอาหาร

                               
               
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์
โบสถ์ ที่นี่คือเคยเป็นโบสถ์ฟรานซิสแก้นเก่าแก่ศตวรรษที่14 ที่เป็นที่เก็บรวบรวมศิลปะบาเซิลยุคกลาง รวมทั้งผลงานศิลปะสมัยศตวรรษที่ 15ระติมากรรมรูปปั้นแกะสลักที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่ในพิพิธภัณฑ์สไตล์โกธิคแห่งนี้

                               
                                 
               





เว็ปไซต์อ้างอิง
  • http://www.dek-d.com/content/studyabroad/28770/
  • http://www.htmithailand.com/th/about-htmi/switzerland
  • http://vacationzone.co.th://www.cenacolovinciano.it/html/eng/smgrazie.htm
  • http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รายงานวิชาศิลปะวัฒนธรรมตะวันตกเพื่อการนำเที่ยว


ประเทศอิตาลี



ธงชาติอิตาลี

อิตาลี เป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรม และอารยธรรมมากว่าศตวรรษ เป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ในอดีตกาล ที่ครอบคลุมตลอดอาณานิคม ดินแดนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โรม มิลาน เวนิสฟลอเรนซ์ เช่นเดียวกับเมืองน้อยใหญ่อื่นๆที่สวยงาม


ประเทศ : อิตาลี (อังกฤษ:ltaly ; อิตาลี:ltalia)

ชื่ออย่างเป็นทางการ : สาธารณรัฐอิตาลี (อังกฤษ:Italian Republic ; อิตาลี:Repubblica italiana)

ธงชาติ
ธงประจำชาติ

ธงประจำชาติอิตาลีมีชื่อว่า ลา บันดิเอร่า ตริโคโลเร่ (La Bandiera Tricolore) มีแถบสีเขียว ขาว และแดง เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2340 ธงชาติอิตาลีคล้ายกับธงชาติฝรั่งเศส แต่มีแถบเขียวแทนสีน้ำเงิน สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติและสิทธิมนุษยชน คือความเท่าเทียมกันและมีอิสระ




วันชาติ : วันชาติของประเทศอิตาลีตรงกับวันที่ 25 เมษายนของทุกปี

ภาษา : ภาษาอิตาลี เป็นภาษาราชการ

ที่ตั้งประเทศอิตาลี
ที่ตั้ง ภูมิประเทศ

ประเทศอิตาลี ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอิตาลี ถูกล้อมรอบด้วยทะเลในทุกๆด้าน ยกเว้นด้านเหนือ เพราะอาณาเขตทางทิศเหนือติดต่อกับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย โดยมีเทือกเขาแอลป์กั้นแบ่ง เทือกเขาที่สำคัญอีกแห่งคือเทือกเขาแอเพนไนน์ พาดผ่านตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ มีแม่น้ำที่ยาวที่สุดในอิตาลีคือแม่น้ำโป (Po) และแม่น้ำไทเบอร์ที่ไหลผ่านกรุงโรม ทางตอนเหนือของอิตาลีมีทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม มัจโจเรและทะเลสาบอีเซโอ เนื่องจากประเทศอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเล ดังนั้น จึงมีชายฝั่งทะเลยาวหลายพันกิโลเมตร ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาที่นี่ นอกจากนี้ประเทศอิตาลียังมีทะเลสาบปล่องภูเขาไฟ มากเป็นอันดับหนึ่งของโลกอีกด้วย




อาณาเขตติดต่อ
  • ทิศเหนือ ติดต่อกับมหาสมุทรอาร์กติก มีทะเลต่างๆ คือ ทะเลแบเรนต์ส ทะลคารา และทะเลขาว
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับทวีปเอเซีย เป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน แนวแบ่งเขตทวีปทั้งสองอย่างคร่าวๆ ถือตามแนวของเทือกเขาอูรัล แม่น้ำอูราล ทะเลแคสเปียน ทะเลดำ และเทือกเขาคอเคซัส การแบ่งเช่นนี้ทำให้มี 2 ประเทศที่มีดินแดนตั้งอยู่ในทวีปยุโรปและทวีปเอเซีย คือ รัสเซีย และตุรกี
  • ทิศใต้ ติดต่อกับทะเลแคสเปียน เทือกเขาคอเคซัส ทะเลดำ ทะเลมาร์มะรา และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติก มีทะเลต่างๆ คือ ทะเลนอร์วิเจียน ทะเลเหนือ ทะเลไอริส และทะเลบอลติก

เงินตราของอิตาลี
เงินตรา

อิตาลีใช้เงินสกุลยูโร (EUR) โดย 1 ยูโรมีค่าประมาณ 40 บาทไทย (ค่าเงินขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันนั้น) ชนิดของธนบัตรมีตั้งแต่ 5, 10, 20, 50, 100, 200 และ 500 ยูโรส่วนเหรียญ ประกอบด้วย 1, 2, 5, 10, 20, 50 เซนต์ ได้แก่ Master Card, บัตรเครดิตอเมริกันเอ็กซ์เพรส, นักชิมคลับเป็นต้น




เทศกาลคาร์นิวัล
เทศกาลสำคัญ

  •  เทศกาลคาร์นิวัลที่เมืองเวียเรจจีโอ แคว้นทัสกานี เทศกาลคาร์นิวัล จัดในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จัดตามเมืองต่างๆ แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่ที่เมืองเวนิส แคว้นเวเนโต มีลักษณะของงานคือเน้นการแต่งการแฟนซีและสวมหน้ากาก
  • เทศกาลทางศาสนา เช่น เทศกาลอีสเตอร์ ประกอบด้วยการเดินขบวนกู๊ดฟรายเดย์หรือเรียกว่าวันอาทิตย์อีสเตอร์ จัดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน ภายในเทศกาลจะมีการเฉลิมฉลอง พระ   สันตะปาปาจะมีกระแสรับสั่งถึงคริสตศาสนิกชนในวันอาทิตย์อีสเตอร์ ซึ่งจัดขึ้นที่นครรัฐวาติกัน
  • เทศกาลศิลปะและดนตรี (อิตาลี: Maggio Musicale Fiorentino) จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ที่เมืองฟลอเรนซ์ แคว้นทัสกานี
  • เทศกาลโอเปร่า ที่เมืองเวโรนา แคว้นเวเนโต
  • เทศกาลลดราคาสินค้าประจำปี จัดขึ้นทั่วประเทศในช่วงเดือนกรกฎาคม และเดือนต่อมาก็จะเป็นช่วงแห่งการพักร้อน ร้านค้าและกิจการในเมืองจะปิด และผู้คนจะไปพักร้อนตามทะเล
  • เทศกาลฉลองฤดูกาลเก็บเกี่ยวองุ่นที่ใช้ทำไวน์
  • เทศกาลภาพยนตร์ จัดที่เมืองฟลอเรนซ์ ในเดือนพฤศจิกายน
  • พิธีมิสซา (ศีลมหาสนิท) ตามโบสถ์ต่างๆ และในคืนวันที่ 24 ธันวาคม สมเด็จพระสันตะปาปาจะเสด็จออกจากบนพระระเบียงมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน

อาหารการกิน

สามารถแบ่งตามประเภทของอาหารในแต่ละมื้อได้ดังนี้

อารหารประเทศอิตาลี 

  • อาหารว่างและของกินเล่นระหว่างมื้อ ที่เป็นที่รู้จักดีคือพิซซา โดยพิซซาในอิตาลีจะเป็นแผ่นแป้งอบทาซอสมะเขือเทศ แต่งหน้าด้วยเนื้อสัตว์ มะเขือเทศ หรือเห็ด เน้นที่ชีสยืดเหนียวด้านบน
  • อาหารเรียกน้ำย่อยหรืออันตีปัสโต (Antipasto) ถ้าเป็นเมืองตามชายฝั่งทะเลจะเน้นอาหารทะเลสด ส่วนทางตอนในจะเป็นไส้กรอกหรือแฮม กินกับผักสดและผักชุบแป้งทอด มิฉะนั้นจะเป็นขนมปัง กระเทียมหรือซุปต่าง ๆ นอกจากนั้น อาหารเรียกน้ำย่อยยังรวมไปถึงพาสตานานาชนิดและข้าวแบบอิตาลีที่เรียกว่ารีซอตโต
  • อาหารจานหลัก ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อสัตว์ล้วนที่ปรุงด้วยวิธีการต่าง ๆ กินคู่กับผักและมันฝรั่ง ถ้าเป็นเมืองชายฝั่งทะเลจะเน้นเนื้อปลา ถ้าเป็นทางตอนเหนือจะเน้นเนื้อวัวและเนื้อแกะ
  • ของหวาน ของหวานที่พบบ่อย ได้แก่ ไอศกรีมที่กินกับผลไม้สด ปันนากอตตา และซาบาลโยเน

เมืองที่สนใจมากที่สุด "กรุงโรม"

สาเหตุที่เลือก "กรุงโรม"


เพราเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีวัฒนธรรมและประวัติที่ยาวนาน อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามเป็นจำนวนมาก และกรุงโรมยังนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลวงทางด้านแฟชั่นของโลกอีกด้วย

ที่มาของชื่อ


เรื่องราวของที่มาของชื่อ โรมา นั้น มีข้อสันนิษฐานอยู่มากมาย ข้อสันนิษฐานที่สำคัญได้แก่
  • มาจาก Rommylos (โรมูลุส) บุตรของอัสกานีอุส และเป็นผู้ก่อตั้งเมือง
  • มาจาก Rumon หรือ Rumen ชื่อในสมัยโบราณของแม่น้ำไทเบอร์ มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า έω (rhèo) ในภาษากรีก และคำว่า ruo ในภาษาละติน ทั้งสองคำหมายถึง "กระแสน้ำไหล"
  • มาจากคำว่า ruma ในภาษาอีทรัสแคน มีรากศัพท์มาจากคำว่า *rum - หมายถึง "หัวนม" ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจอ้างอิงถึงหมาป่าที่เลี้ยงดูและให้นมสองพี่น้องแฝด โรมูลุสและเรมุส หรืออาจอ้างอิงถึงรูปร่างของเนินเขา Palatine และ Aventine
  • มาจากคำว่า ώμη (rhòme) ในภาษากรีก หมายถึง ความแข็งแกร่ง

ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ของกรุงโรม

เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5 ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์

นอกจากนี้ โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย หลังสิ้นสุดยุคกลาง โรมได้อยู่ภายใต้การปกครองของพระสันตะปาปา เช่น สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 และสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 ผู้ซึ่งสร้างสรรค์ให้โรมกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในอิตาลีเช่นเดียวกับฟลอเรนซ์ ซึ่งในยุคสมัยดังกล่าว ได้มีการก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์แบบที่เห็นในปัจจุบัน และไมเคิลแองเจโลได้วาดภาพปูนเปียกประดับภายในวัดน้อยซิสตีน ศิลปินและสถาปนิกที่มีชื่อเสียงอย่างบรามันเต แบร์นินี และราฟาเอล ซึ่งพำนักอยู่ในโรมเป็นครั้งคราว ได้มีส่วนช่วยสรางสรรค์สถาปัตยกรรมแบบสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและแบบบารอกในโรมด้วยเช่นกัน

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจใน



กรุงโรมยามค่ำคื่น
กรุงโรม (Rome)

เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซิโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์ โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ตอนกลางของประเทศ โดยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมาย เช่น ราชอาณาจักรโรมัน สาธารณรัฐโรมัน และจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของอารยธรรมตะวันตก และในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันได้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1870 นอกจากนี้ โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอีกด้วย


สถานที่ท่องเที่ยวในโรม


สนามกีฬาโคลอสเซียม
โคลอสเซียม (Colloseum)

เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้น ในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส

ในคริสตศตวรรษที่ 1หรือประมาณปี ค.ศ.80อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทราย วัดโดยรอบได้ประมาณ 527เมตร สูง 57เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000คนมีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรีเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬาและมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน ในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อ โคลิเซียม (Coliseum โดยในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่


วาติกันในยามค่ำคืน

พระราชวังวาติกัน (Vatican Palace)

ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นศูนย์กลางการปกครองของศาสนาคริสต์เเละยังเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตปาปาประมุขฝ่ายศาสนาคริสต์ เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลกใช้ประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาต่างๆเป็นงานสถาปัตยกรรมที่งดงามลวดลายวิจิตรด้วยฝีมือศิลปินชาวอิตาลีหลายคนหลายยุคสมัยกว้าง 289 ฟุต ยาว 486 ฟุต สูง 354 ฟุต มียอดปราสาทมากถึง 135 ยอด เเละห้องต่างๆมากถึงสี่พันห้องนับเป็นงานก่อสร้างที่งดงาม ภายในจะมีจุดสนใจของผู้ที่มาท่องเที่ยวก็คือ  รูปภาพ ปิเอต้า(Pieta) สร้างสรรค์โดย ไมเคิลแองเจโล่ เป็นศิลปะ สมัยยุดเรนาชองต์ ประดิษฐาน ขึ้นที่ มหาวิหารวิหารเซ็นต์ ปีเตอร์ในศตวรรษที่ 18 โดยเป็นภาพของพระแม่มารีย์ ทรงโอบอุ้มพระเยซูก่อนที่ท่านจะสิ้นใจนอกจากนั้นยังมีศิลปะหลายแขนง ให้เลือกชมมากมาย


น้ำพุเทรวี่
น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain)

เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ชื่อ เทรวี่นั้นมาจากคำว่าตรีวิอุมหมายถึงพบกันของถนนสามสาย เป็นอนุสรณ์สไตล์บารอค ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่ ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732 การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งภายหลังการสิ้นพระชนม์สมเด็จสันตะปาปาที่ เออร์บัน ที่ 8 ได้หยุดชะงักลง และดำเนินการสร้างต่อมาจนแล้วเสร็จในปี 1762 รวม ใช้เวลาทั้งสิ้น 30ปี ทางระบายน้ำ เวอร์โก้ บริเวณลานด้านหน้านั้นก่อสร้างมากว่า 2000ปี ครั้งสมัยโรมโบราณซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่ง ตรงเวลา 19 ปี ก่อนคริสตศักราช รูปปั้นแกะสลักที่เลิศหรูอลังการที่อวดโฉมให้ผู้ไปเยือนได้ยลนั้นได้แนวคิดจากความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าเนปจูน เทพแห่งท้องทะเลว่ากันว่า หากใครที่ได้โยนเหรียญลงไปในน้ำ เขาหรือเธอผู้นั้นจะได้กลับมาเยือนอีกในสักวัน

บันไดสเปน

บันไดสเปน (Piazza di spagna )

หนึ่งในจุดที่สวยในกรุงโรมบ่ายๆ ผู้คนจะมานั่งพักผ่อนพบปะกันเต็ม ย่านชอปปิ้งที่หรูหราที่สุดของเมือง มีซอยเล็ก ซอยน้อย ที่ท่านจะได้เดินเที่ยวชมและช้อปปิ้งเพลิดเพลิน













แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง



เวนิสตอนค่ำ
เมืองเวนิส (Venice)

เวนิส เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร 271,663 คน เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก เมืองแห่งสายน้ำ เมืองแห่งสะพาน และ เมืองแห่งแสงสว่างเมืองเวนิส ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่งนับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คนในเทอร์ราเฟอร์มา) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ



เวนิซ
เวนิซเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับการกล่าวขานว่าโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เมืองที่ใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน

มีเกาะเล็กใหญ่กว่า 118 เกาะ และมีสะพานเชื่อมมากกว่า 400 แห่ง เดินทางสู่ เกาะซานมาร์โค ศูนย์กลางของนครเวนิซ ผ่านชม สะพานถอนหายใจ ที่เชื่อมต่อระหว่าง “Doge Palace” ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองนครเวนิซในอดีต อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการปกครองแคว้นในยุคสมัยนั้นอีกด้วย






เรือกอนโดล่า
ล่องเรือกอนโดล่า


(ใช้เวลาประมาณ 30 นาที) เพื่อชมมนต์เสน่ห์แห่งนครเวนิซ สู่ คลองใหญ่ Grand Canal คลองที่กว้างที่สุดของเกาะ และงานก่อสร้างที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะด้านสถาปัตยกรรม ที่ สะพานเรียลอัลโต้ (ศิลปินเอกไมเคิลแองเจโล) ได้เวลานัดหมายนำคณะลงเรือเดินทางกลับสู่ฝั่งที่ ท่าเรือตรอนเชโต้








หอเอนปิซ่า
หอเอนปิซา (Pisa Leaning Tower)

หอเอนปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิชา ประเทศอิตาลี ซึ่งสร้างด้วยหินอ่อน สูง 181 ฟุต มี 8 ชั้น โดยเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1174 เสร็จเมื่อปี ค.ศ.1350 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 176 ปี  สำหรับหอเอนปิชานี้ ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคที่สลักลวดลายไว้สวยงามมาก ส่วนสาเหตุที่เอียงนั้นเกิดขึ้นหลังจากเมื่อสร้างเสร้จแล้ว ฐานได้ทรุดไปข้างหนึ่ง เมื่อวัดดูปรากฏว่าเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 14 ฟุต แต่ก็ยังไม่ล้ม ยังคงเอียงอยู่เช่นทุกวันนี้  ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก


ของที่ระลีก
  • ของที่ระลึกตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น พวงกุญแจ ที่ทับกระดาษ ผ้ากันเปื้อน ฯลฯ แต่ของเหล่านี้ ส่วนมากจะ made in china 

พวงกุญแจ
  • อิตาลีเป็นอีกประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องทองคำ ด้วยการออกแบบที่เก๋ ทันสมัย บวกกับปริมาณทองคำ 75 % จึงทำให้มีรูปแบบ รูปทรงต่างออกไปจากบ้านเรา แนะนำว่าร้านขายทองตามเมืองใหญ่ๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยวอย่างโรม เวนิส ราคาจะแพงกว่าร้านค้าในเมืองเล็กๆ ราคาทองคำที่นี่จะขึ้นอยู่กับเจ้าของร้านเป็นผู้กำหนด
  • เครื่องหนัง คุณสามารถเลือกซื้อเครื่องหนังคุณภาพดี made in italy ได้จากตลาดนัด หรือร้านรวงตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า เข็มขัด เป็นสินค้าที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อเป็นของฝาก สินค้าแบรนด์เนม GUCCI, PRADA, DOLCE & GABBANA, FENDI, GIORGIO ARMANI, VERSACE, BULGARI และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย ส่วนแหล่งช้อบตามเมืองต่างๆ ได้แก่ Via dei Condotti(แถวบันไดสเปน),Via Montenapoleone fashion (มิลาน) หรือจะเป็นตาม outlet เช่น The Mall (ฟลอเร้นซ์), outlet ในเครือ fashion district, Serravalle designer outlet ในเครือ McArthurglen (outlet ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป)
  • กรุงโรมนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลวงทางด้านแฟชั่นของโลก และเต็มไปด้วยร้านแบรนด์เนมชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Armani, Versace และ Ferre แต่ก็ยังมีร้านค้าอีกมากมายที่จำหน่ายสินค้าในราคาย่อมเยาเช่นกัน และคุณยังสามารถหาซื้อของที่ระลึกกับพ่อค้าแม่ค้าริมทางในกรุงโรมได้เช่นกัน จริงๆแล้วการช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าอาจไม่ได้รับความน่าสนใจเท่ากับการเข้าห้องเสื้อสวยๆ บรรดาสินค้าต่างๆ จะแยกปิดร้านเฉพาะขายสินค้าของตัวเอง ทั้งยังทำการตกแต่งร้านอย่างสวยงาม มอบเวลาส่วนตัวให้ลูกค้าได้พิจารณากับสินค้ากันอย่างถึงที่สุด ดังนั้นแหล่งช้อปปิ้งแบรนด์เนมแฟชั่นสำคัญของโรม จึงไปรวมตัวกันที่บริเวณบันไดสเปน(Piazzz di spagna)  บริเวณนี้เต็มไปด้วยบูทิคแฟชั่นแบรนด์ดังสัญชาติอิตาลี ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ อยู่ในละแวกเดียวกัน เช่น พราด้า, วาเลนติโน, กุชชี่,เฟนดิ,บูการี,อาร์มานี่ ฯลฯ ดังนั้นจึงทำให้การเดินทางมาที่นี่เป็นการช้อปปิ้งที่สร้างความเพลิดเพลินได้ตลอดวัน

บทสรุป

           เป็นเหมือนดั่งคำกล่าวสมัยโบราณ ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม เนื่องมาจากมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายที่เมืองนี้ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ไม่เพียงแต่อนุสรณ์โบราณ, ซากปรักหักพัง หรือสถาปัตยกรรมโบราณต่าง ๆ ที่น่าสนใจ แต่ยังรวมไปถึงบ้านเรือนต่างๆ ท้องถนน และหอคอยต่างๆ เช่นกัน


บรรณานุกรม

  • http://xn--m3c6awvij.net/rome/

  • http://uddee.multiply.com/journal/item/776/776
  • http://www.educatepark.com/italy/general-information.php
  • http://www.qetour.com/travel-guide/italy-travel-guide.php
  • http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B5
  • http://www.sprachcaffe-thai.com/study_abroad/language_schools/rome/about.htm
  • http://travel.thaiza.com/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B5+%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A1/82193/
  • http://www.educatepark.com/italy/general-information.php